การหาน้ำตาลจากมันสำปะหลัง
ที่มาและความสำคัญ
เนื่องจากการขอขึ้นราคาน้ำตาลทราย น้ำตาลทรายขาดแคลนมีการกักตุน ขาดตลาด ที่มีขายก็ราคาแพง ชาวไร่อ้อย พ่อค้าออกมาเรียกร้อง สมาชิกในกลุ่มจึงเกิดแนวคิดว่า น้ำตาลทรายน่าจะได้มาจากพืชชนิดอื่นบ้างที่มีต้นทุนการผลิตต่ำ จากการที่ได้รับประทานแป้งข้าวหมากพบว่า แป้งข้าวหมากซึ่งทำจากข้าวเหนียว มีรสจืด แต่พอเป็นแป้งข้าวหมากแล้วกับมีรสหวานเข้มแสดงว่า ข้าวเหนียวสามารถทำเป็นน้ำตาลได้ แต่ราคาข้าวเหนียวแพงกว่าน้ำตาลมาก จึงคิดว่า มันสำปะหลัง ซึ่งมีรสคล้ายข้าวเหนียวและเหนียวเหมือนกัน น่าจะนำมาทำน้ำตาลได้
วัตถุประสงค์การทดลอง
1. เพื่อทดลองทำข้าวหมากจากหัวมันสำปะหลัง
2. เพื่อศึกษาการทำน้ำตาลจากหัวมันสำปะหลังและศึกษาคุณลักษณะของน้ำตาล
2. เพื่อศึกษาการทำน้ำตาลจากหัวมันสำปะหลังและศึกษาคุณลักษณะของน้ำตาล
สมมติฐานของการศึกษาค้นคว้า
มันสำปะหลังซึ่งมีรสคล้ายข้าวเหนียวและเหนียวเหมือนกัน สามารถนำมาทำน้ำตาลได้
ตัวแปรทีเกี่ยวข้อง
ตัวแปรต้น มันสำปะหลัง
ตัวแปรตาม ปริมาณน้ำตาลที่ได้
ตัวแปรควบคุม ปริมาณหัวมันสำปะหลังปริมาณลูกแป้ง ระยะเวลาในการหมัก
อุปกรณ์และวัสดุที่ใช้ในการศึกษา
1. มันสำปะหลัง
3. หม้อ กระทะ ลังถึง
4. เครื่องชั่ง
5. เตาแก๊ส
6. บีกเกอร์
7. มีด
วิธีดำเนินการศึกษา
วิธีนำเนินการศึกษาการทำน้ำตาลจากมันสำปะหลังมีดังนี้
1. ศึกษาการหาน้ำตาลจากมันสำปะหลัง
1.1. ชั่งหัวมันสำปะหลังด้วยน้ำหนัก 2 กิโลกรัม ปลอกเปลือกออกล้างให้สะอาดหั่นเป็นท่อนๆ นำมานึ่งในลังถึงให้สุกทิ้งไว้ให้เย็น
1.2. ใช้ลูกแป้ง 20 กรัม ขูดให้เป็นผงโรยลงบนหัวมันสำปะหลังให้ทั่วหมักทิ้งไว้ 2 วัน สังเกตและทำการบันทึกผล
2. หลังจากหมักทิ้งไว้ 2 วันแล้วจะเกิดน้ำหวานหลั่งออกมานำมาแยกออกจากหัวมันที่ได้ทำการหมักไว้
2 วันโดยการกรอง
2 วันโดยการกรอง
2.1. นำน้ำหวานที่ได้จากการกรองแล้วมาเคี่ยวจนสังเกตวาเกิดความเหนียว
2.2. นำน้ำหวานที่ได้จากการเคี่ยวแล้วมาใส่ในภาชนะ แม่พิมพ์ ฯลฯ ทิ้งไว้ให้เย็น
2.3. นำมาบดเพื่อในการใช้ประโยชน์ต่อไป
3. นำหัวมันสำปะหลังที่ได้จากการแยกน้ำหวานออกนำไปเลี้ยงสัตว์
การทำปฏิกิริยาของลูกแป้ง
ในลูกแป้งข้าวหมากจะมีเชื้อราสกุล Mucor sp., Amylomyces sp. ซึ่งสามารถสร้างเอนไซม์อมิเลสออกมาย่อยแป้งในมันสำปะหลังให้เป็นน้ำตาล น้ำตาลหรือน้ำหวานที่ได้จากการย่อยมันสำปะหลังนี้ เรียกว่า น้ำต้อย มีความหวานประมาณ 30-40 องศาบริกซ์ (ปริมาณน้ำตาลคิดเป็นกรัม ของน้ำซูโครสต่อ 100 มิลลิลิตร) น้ำต้อยที่ย่อยได้ในระยะแรกช่วงวันที่ 1 และ 2 ยังไม่ค่อยหวานจัด เพราะแป้งยังถูกย่อยไม่ -สมบูรณ์ จะเริ่มหวานจัดประมาณวันที่ 3 และถ้าหมักไว้นานสัปดาห์จะมีกลิ่นเหล้าอ่อน ๆ เนื่องจากมียีสต์บางชนิด เช่น ยีสต์ในสกุล Sacchacomyces sp., หมักน้ำตาลในมันสำปะหลังเป็น แอลกอฮอล์ จึงควรเก็บมันสำปะหลังไว้ในตู้เย็นเมื่อหมักได้ที่แล้ว
ผลการทดลอง
ตาราง แสดงปริมาณหัวมัน น้ำหวาน น้ำตาลจกการทดลองดังนี้
ทดลองครั้งที่ | ปริมาณหัวมัน (g) | น้ำหวานที่ได้ (g) | น้ำตาลที่ได้ (g) |
1 | 2000 | 800 | 160 |
2 | 1000 | 500 | 110 |
3 | 2500 | 1250 | 275 |
4 | 1000 | 450 | 100 |
5 | 2000 | 1000 | 220 |
เฉลี่ย | 17000 | 800 | 173 |
จากการทดลองพบว่า หัวมันสำปะหลังสามารถทำน้ำตาลได้คิดเป็นร้อยละได้ดังนี้
น้ำตาลที่ได้ = ปริมาณน้ำตาลที่ได้ × 100
ปริมาณหัวมัน
ปริมาณหัวมัน
= 170 × 100
1700
= 10 %
ดังนั้นหัวมันสำปะหลัง 1700 กรัม จะให้ปริมาณน้ำตาล 10 %
คุณลักษณะของน้ำตาลมีสีน้ำตาลขุ่นคล้ายน้ำน้ำตาลโตนดหวานแหลม กลิ่นหอม สามารสนำมาประกอบอาหารคาวหวานได้เช่นเดียวกับน้ำตาลได้
สรุปผลการทดลอง
1.หัวมันสำปะหลังทำน้ำตาลได้อัตราส่วนหัวมันสำปะหลัง 1700 กรัม จะให้ปริมาณน้ำตาล 10% น้ำตาลที่ได้มีสีน้ำตาลขุ่นรสหวานแหลม
ประโยชน์ของโครงงาน
1. เป็นแนวทางในการทำน้ำตาลที่นำมาประกอบอาหารบริโภคได้
2. กากที่ได้จากการแยกออกจากน้ำหวานนำไปเลี้ยงสัตว์ได้
3. มันสำปะหลังเป็นพืชในท้องถิ่น ปลูกง่ายนอกจากใช้ประโยชน์อย่างอื่นแล้วการทำน้ำตาลเป็นทางเลือกหนึ่งที่คนในชนบทสามารถทำขึ้นเพื่อใช้ในครัวเรือนได้เหมาะสมกับเศรษฐกิจในปัจจุบันนี้
ข้อเสนอแนะ
1. ควรทดลองนำส่วนที่ที่หมักข้าวหมากไปทำอย่างอื่น เช่น ปล่อยใช้เป็นน้ำสมสายชู จะได้น้ำสมสายชูหัวมันหรืออาจได้วุ้นจากหัวมันก็ได้
2. ควรศึกษาหัวมันชนิดอื่นที่มีมากในท้องถิ่น
จัดทำโดย
1. นายวีระยุทธ ขาวคง
2. นายพลเดช กั่วสิริกุล
3. นายสาวิช ทองโอ
ชั้นมัธยมศึกษา 4/1
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น