วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์

ความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ 

  1. หลายร้อยล้านปีของวิวัฒนาการที่ผ่านมา การศึกษาในเชิงวิทยาศาสตร์พบว่า ธรรมชาติได้ให้กําเนิดสิ่งมีชีวิตบนโลก ในภาวะที่เกิดสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีช่วงคลื่นความถี่ต่ำพิเศษเท่านั้น เป็นเพราะช่วงคลื่นความถี่ต่ำพิเศษนี้เอง ที่ทําให้เซลล์สิ่งมีชีวิตเจริญเติบโต และพัฒนากระบวนการเมตาโบลิซึม (metabolism)ได้อย่างปกติ
  
 2. ในปี ค.ศ.1994 กิลเมน และรอดเบลล์ นักวิทยาศาสตร์ 2 ท่านได้รับรางวัลโนเบล จากการค้นพบและพิสูจน์ว่า เซลล์ ร่างกายมนุษย์สามารถติดต่อสื่อสารซึ่งกันและกันได้ โดยใช้สัญญาณคลื่นความถี่ต่ำพิเศษ ประมาณ 7.8 Hz ซึ่งสัญญาณเหล่านี้ จะนําข้อมูลที่สําคัญทั้งหมดเข้าไปช่วยในกระบวนการด้านเคมีชีวภาพ และด้านฟิสิกส์ของร่างกาย

   3. นักบินอวกาศที่สหรัฐอเมริกาและรัสเซีย เกิดอาการอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตัว มึนศีรษะ เมื่อทํางานอยู่ในอวกาศนานๆ จนในที่สุด องค์การนาซ่าจึงต้องสร้างสนามแม่เหล็กเทียมขึ้นในสถานีอวกาศโดยให้สนามแม่เหล็กดังกล่าว มีค่าความถี่ 7.8 Hz/รอบ/วินาที ซึ่งเท่ากับสนามแม่เหล็กโลก โรคอวกาศ” จึงหายไป
ในประเทศญี่ปุ่นได้มีการวิจัย และพบว่าโครงเหล็กที่เป็นแผ่นของตึกสูงๆ เป็นฉนวนที่กันเอาสนามแม่เหล็กโลกออกไปจากพื้นที่ภายในอาคาร เป็นสาเหตุให้คนเจ็บป่วยได้ และด้วยเหตุนี้เอง การพักผ่อนตากอากาศโดยพาตัวเองไปอยู่ในท่ามกลางภูเขา แม่น้ำ ทะเล จึงเปิดโอกาสให้คนเราได้รับการอาบไล้จากสนามแม่เหล็กโลก เพิ่มพลังชีวิตให้กับร่างกาย
  4.สสารทุกชนิดจะมีการปล่อยการสั่นรัวของคลื่นความถี่ในจังหวะที่แตกต่างจากการสั่นรัวของคลื่นความถี่ต่ำตามธรรมชาติของเซลล์ สิ่งมีชีวิตทั้งมนุษย์ สัตว์ และพืช คลื่นความถี่เหล่านี้ไม่ว่าจะมาจากสารเคมี แบคทีเรียและไวรัส ที่เข้าสู่ร่างกาย หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากรังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ่า (EMR) ที่แผ่กระจายอยู่บริเวณรอบๆ ตัวเรา เช่น จากสถานีส่งไฟฟ้าแรงสูง เสาไฟฟ้าแรงสูง สถานีส่งคลื่นวิทยุเพื่อการติดต่อสื่อสารต่างๆ จากอุปกรณ์เทคโนโลยีชั้นสูงใกล้ตัว เช่น โทรศัพท์ มือถือ คอมพิวเตอร์ คลื่นไมโครเวฟ * ฯลฯ ล้วนแล้วแต่ทําให้เซลล์ในร่างกายได้รับการสั่นรัวของคลื่นความถี่ ในจังหวะที่แตกต่างจากการสั่นรัวของคลื่นความถี่ต่ำตามธรรมชาติ ชนิดเดียวกับเซลล์ของร่างกายทําให้เกิดการรบกวนเบี่ยงเบนสัญญาณการติดต่อสื่อสารของเซลล์ การทํางานของระบบเมตาโบลิซึมของร่างกายบกพร่อง เกิดความเสียหายต่อระบบภูมิคุ้มกันและ DNA ในเซลล์ ส่งผลให้เกิดโรคร้ายแรงต่างๆ ตามมา ฉะนั้นคนที่อาศัยอยู่ในเมืองหนาแน่นที่เต็มไปด้วยการแผ่กระจายของรังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จากอุปกรณ์เทคโนโลยี ที่อํานวยความสะดวกต่างๆ จะมีอายุโดยเฉลี่ยสั้นกว่า และมีสุขภาพอ่อนแอกว่า คนที่อาศัยอยู่ในชนบทที่ปลอดคลื่นรังสีแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Radiation - EMR) *ผลเสียต่างๆที่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์นั้น เมื่อทราบแล้วแต่เรายังต้องพึ่งพามันอยู่ ปัจจุบันมนุษย์ก็ผลิตคิดค้นตัวช่วยออกมาแก้ไข ทำให้อันตรายนั้นหายไปหรือสร้างภาวะสมดุลให้กลับมาได้ด้วยเช่นเดียวกัน และสามารถสาธิตให้ทุกคนสัมผัสได้ง่ายๆอีกด้วย

5. ในปี ค.ศ.1986 เกิดเหตุการณ์รั่วของสารกัมมันตภาพรังสีนิวเคลียร์ ที่โรงงานเชอร์โนบิล ประเทศรัสเซียซึ่งมีผลทําให้คนหลายแสนคนบาดเจ็บ และล้มตาย ทางรัฐบาลรัฐเซียได้ส่งผู้ป่วยที่รอดชีวิตไปรักษาตัวตามโรงพยาบาลต่างๆ หลายแห่ง แต่มีผู้ป่วยกลุ่มหนึ่งที่ถูกส่งตัวไปรักษาที่บริเวณเทือกเขาคอเคซัส สามารถรักษาตัวให้หายได้เป็นปกติในเวลาอันรวดเร็วกว่าผู้ป่วยบริเวณอื่นๆ รัฐบาลรัสเซีย จึงให้ความสนใจเป็นอย่างมากและได้มอบหมายให้ ดร.อิเกอร์ สเมียร์นอฟ เป็นหัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ ไปสํารวจหาข้อมูลที่ทําให้คนกลุ่มนี้หายอย่างรวดเร็ว และพบว่าพวกเขาได้ดื่มน้ำพุจากเทือกเขาคอเคซัส ในอดีตคนที่อาศัยอยู่บริเวณเทือกเขาคอเคซัส จะถูกเรียกว่า “คอเคเซี่ยน” ซึ่งจะเป็นมนุษย์ที่ตัวใหญ่และแข็งแรงมาก เป็นที่ทราบและพิสูจน์มาหลายชั่วอายุคนว่าน้ำจากน้ำพุภูเขาธรรมชาติ บริเวณเทือกเขาคอเคซัส ช่วยเสริมสุขภาพทําให้ดูอ่อนกว่าวัย และมีอายุยืนนาน รวมทั้งช่วยกําจัดโลหะหนักสารพิษ และสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้จากสิ่งมีชีวิต

วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554

วิทยาศาสตร์หมายถึงอะไร...

วิทยาศาสตร์ หมายถึง ความสามารถในการคิดที่ต้องอาศัยกระบวนการทางสติปัญญา ความคิดและประสบการณ์เดิมของบุคคลมาประกอบกัน

เพื่อแก้ปัญหาที่ประสบในสถานการณ์ที่กำหนดมาให้ ซึ่งวัดได้จากแบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นโดยอาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์

ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนดังนี้

1. ขั้นระบุปัญหา หมายถึง ความสามารถในการระบุปัญหาที่สำคัญที่สุดภายในขอบเขตที่เกี่ยวกับสถานการณ์ที่กำหนดไว้
2. ขั้นตั้งสมมติฐาน หมายถึง ความสามารถในการคิด วิเคราะห์ ระบุสาเหตุที่เป็นไปได้ที่ทำให้เกิดปัญหา โดยพิจารณาจากข้อเท็จจริงในสถานการณ์ที่กำหนดให้
3. ขั้นพิสูจน์หรือทดลอง หมายถึง ความสามารถในการคิดค้นหาวิธีแก้ปัญหาให้ตรงกับสาเหตุของปัญหาหรือนำเสนอข้อมูลเพิ่มเติม  เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาที่ระบุไว้อย่างสมเหตุสมผล
4. ขั้นสรุปผลและนำไปใช้ หมายถึง ความสามารถในการอธิบายผลที่ได้จากการใช้วิธีการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์นั้นสอดคล้องกับปัญหาที่ระบุไว้หรือไม่  หรือผลเป็นอย่างไร สามารถนำไปใช้ได้